เที่ยวโบรโม่ถึงอีเจี๊ยน | สวรรค์บนดิน “เห็นด้วยตา” แต่ “ตรึงใจ” ไม่มีลืม

July 9, 2017
406 views
39 mins read

เที่ยวโบรโม่ถึงอีเจี๊ยน – นี่เป็นภาพต่อจากการเที่ยวยอร์คยาการ์ต้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทริปอินโดนีเซีย 10 วันของเรา เอาเข้าจริงเราประทับใจยอร์คยาการ์ต้ามากเลย ทั้งเรื่องอาหารการกิน อากาศ ผู้คน แต่ก็ต้องโบกมือลาเพื่อมาพบกับ

สถานที่ๆฮอตฮิตติดอันดับเมื่อคนไทยนึกถึงอินโดนีเซีย อย่างโบรโม่ และ อีเจี๊ยน

การเดินทางมาที่นี่มี 3 เส้นทางนั้นแหละแต่โดยปกติคนไทยนิยมนั่งเครื่องบินมาลงที่สุราบายา แต่เราแวะเที่ยวยอร์คยาการ์ต้าก่อน จะเลือกนั่งเครื่องมาลงก็ได้ รถไฟก็ได้ หรือ จะรถยนต์ก็ได้โดยเราเลือกรถยนต์เพราะจะได้ไม่ต้องนั่งย้อนไปย้อนมา โดยราคาเทียบดูแล้วเหมารถกับคน 7 คนจะคุ้มค่าที่สุด ตามเรามา 6 August Journey จะพาไปตะลุย

 

งบที่ใช้สำหรับเมืองนี้

 

เตรียมตัวเที่ยวอย่างไรบ้าง

  • จองรถพร้อมคนขับและปรึกษาแผนท่องเที่ยวที่ “ท่องเที่ยวเมืองยอร์คยาการ์ต้า” ราคาคนไทย : คลิกที่นี่
  • แลกเงินอินโดไปเลย ไม่ต้องไปแลกหลายต่อเราแนะนำให้โทรจองที่ Super rice เพราะ Rate ดีไม่เสียเวลาแลกหลายต่อ
  • ปลั๊กไฟแบบ Universal ควรพวกไปเพราะปลั๊กบ้านเขาไม่เหมือนบ้านเรา
  • อากาศที่นี่ช่วงบ่ายๆ ฝนจะตกตลอดทั้งปี แนะนำเตรียมตัวป้องกันฝนไปด้วย

 

4th day : อำลายอร์คยา มุ่งหน้าสู่โบรโม่

เราออกจากยอร์คยาการ์ต้าช่วงบ่ายของวันที่ 3 แล้วพี่คนขับก็พาเรายิงยาวข้าวเมืองกันแบบโหดเลยแหละ เพราะขับกันตั้งแต่บ่าย มาถึงโบรโม่อีกทีตอนตี 2 กว่าได้ พาแวะกินข้าวครั้งนึง เราก็ชวนเขาคุยเรื่อยๆแหละ ที่นี่มีถนนหลักจริงๆขนานกับทางรถไฟไป และมืดมาก 2 ข้างทางเป็นป่าเขา ที่สำคัญรถเยอะเพราะมีเส้นทางเดียวที่มุ่งสู่บาหลี

เป็นไปตามที่คาดหมาย พวกเรามาถึงที่พักเป็นกลุ่มท้ายๆ โดยครั้งนี้เราเลือกมาพักกับ Yog Homestay ที่ๆไม่ได้ฮอตฮิตสำหรับคนไทย เพราะที่พักที่เป็นที่นิยมเต็มไปหมดแล้ว เลยเลือกเสี่ยงดวงมา และเราก็ไม่ได้นอนจริงๆ เหมือนแวะเข้ามาเก็บกระเป๋าแล้วก็นั่งรถจี๊ปเพื่อไปชมโบรโม่ ซึ่งพวกเราเป็นคณะท้ายสุด !!!

อากาศเย็นมาก เย็นแบบสั่นเลยแหละ อาจจะเป็นเพราะเราอยู่บนภูเขา สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือมายืนรอแสงสว่าง โดยจุดชมวิวเราไม่มั่นใจนะว่ามีเยอะไหม แต่จุดที่เราไปชมมี 3 ซึ่งคนไม่เยอะเหมือนที่ในหลายๆรีวิวเจอ ยืนหนาวยืนจับจองมุม ไกด์ที่มากับเราก็แนะนำให้เดินขึ้นไปอีกจุดนึงสิสวยมากเลยนะ แต่เดินขึ้นเขาเราตัดสินใจรอตรงนี้แหละ 55+

วินาทีที่เราเห็นโบรโม่…มันเป็นอะไรที่สะกดสายตามาก เราว่าความงามของที่นี่มันอยู่ตรงที่มีหมอกจางๆ ลงต่ำทำให้เหมือนฝันที่แบบมีภูเขาผุดขึ้นมาท่ามกลางหมอก ของจริงสวยมากแต่ และหนาวมากเช่นกัน นั่งดูไม่เบื่อเลยแหละ เอาเข้าจริงเราต้องซึมซับช่วงเวลานี้ไว้นะเพราะแสงเช้ามันจะค่อยๆสาดเรื่อยๆ

 จุดที่เราแนะนำให้เดินมาถ่ายรูป จะเป็นจุดที่เป็นสันที่มีหมู่บ้านคนอาศัยอยู่ จุดนี้เองแสงจะไล่ ผสมมากกับหมอกสวยงาม ละเอียดยิบเลยแหละ ก่อนที่จะเดินลงไปอีกจุดที่เราสามารถถ่ายภาพเราเองกับโบรโม่โดยที่ไม่มีอะไรบังเรา เราอยู่จุดนี้ถึงราว 06:00 เช้าได้คือเริ่มทนหนาวไม่ไหวแล้ว

จุดต่อไปที่เราจะไปกันคือ ไปปีนปากปล่องภูเขาไฟกัน เราบอกเลยว่าต้องลงมาจุดนี้ให้เร็วเพราะคุณจะทันเห็นตัวคุณเองเดินท่ามกลางหมอก และจะเห็นมา เห็นภูเขาอย่างกับในหนังฮอลลีวู้ด หมอกเล็กๆน้อยๆเราก็ยังเอาเพราะมันสวยมาก จะถ่ายภาพออกมาเท่สุดๆ

มาถึงจุดที่เราจะรู้สึกตัวเหมือนเป็นซุปเปอร์สตาร์ เพราะเมื่อรถจี๊ปเรามาจอดแล้วจะมีม้ามากมายมารุมล้อมพร้อมราคาที่ผูกขาด มาทั้งที่เราก็นั่งนั้นแหละ แต่ความพีคของม้าที่นี่คือเขาไม่มีการปิดตา บางตัวก็ดื้อรั้นเช่นตัวที่เรานั่ง แต่แบบโอ้ยทำไงได้ มันเดินเจอม้าตัวอื่นมันก็จะไปสู้กับชาวบ้านจะขึ้นขี่ จะดีดชาวบ้าน -*-

กว่าจะถึงนี่ลุ้นแทบตายว่าแบบจะมาตกม้าตายไหม 55+ แล้วก็มาถึงจุดที่เราต้องเดินขึ้นเองเพื่อขึ้นไปดูปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่ เขาจะมีช่อดอกไม้ให้คนที่มีความเชื่อว่าถ้าอธิษฐาน แล้วโยนลงไปจะสมหวัง แต่วิวบนนี้เด็ดมาก นั่งถ่ายรูปเท่ๆสบายๆใจ ที่สำคัญฝรั่งหล่อเยอะ 55+ (ไม่ได้เกี่ยวเลย)

สิ่งที่อยากเตือนอีกเรื่องคือ ถ่ายรูปม้าตัวเองไว้ด้วย เพราะเดินลงมาอาจจะงงได้ เพราะม้าใครต่อม้าใครก็ไม่รู้พี่ที่ไปด้วยขามาม้าตัวนึง ขากลับม้าอีกตัวนึงกลายเป็นว่าต้องเสียเงินแพงกว่าชาวบ้านแบบงงๆด้วย ถ่ายรูปม้าตัวเองไว้ด้วย แต่สำหรับใครที่ประหยัดก็เดินได้นะ เพราะไม่ได้ไกลมาก เราเห็นคนเดินกันเยอะ แต่เราอยากเท่ 55+

จุดต่อไปที่เราจะไปกันคือ บริเวณทุ่งหญ้าสะวันนา แต่ช่วงที่ไปก็ไม่ค่อยชัดเจนนักแต่ก็สวยงามดี เพราะวิวแบบนี้ที่บ้านเราไม่มี และไม่รู้จะหาที่ไหนได้ง่ายๆ ก็ไปแวะก่อนที่จะจบ Jeep Tour ตอนช่วง 08:00 ถือว่าคุ้มค่าสมราคาเขาแหละ วิวหลักร้อยล้านเราเข้าใจแล้วว่าทำไมใครๆก็มาโบรโม่

 ไม่นานนักทัวร์ของเราก็จบลง เราก็กลับมาที่พักกัน โดยพยายามหาอะไรทานแล้วแต่สิ่งที่พบคือ กาแฟ อาหารเช้าส่วนใหญ่ก็ต้องสั่งที่พักไว้นั้นแหละ ทางเราเลยตัดสินใจไปที่น้ำตกต่อเลย ค่อยไปหาอะไรทานเอาข้างหน้านั้นแหละ อีกอย่างมันไม่ได้ไกลกันขนาดนั้น ออกแนว 30-45 นาทีก็ถึง

เมื่อมาถึงการเดินลงมาจากรถ ก็จะมีคนมาคุยด้วยโดยเราให้คนขับรถคุยให้ เป็นการเจรจาไปในตัว แต่แบบเราก็รู้สึกแปลกๆ ตรงที่เขาจะไม่เหมือนอุทยานบ้านเราที่มีใบเข้าอุทยานชัดเจน อารมณ์ประมาณว่าเขาเรียกเราเท่าไรก็จ่ายกันไปแบบงงๆนั้นแหละ ซึ่งก็โดนไปตามราคาที่เขียนไว้ จากนั้นก็แว๊นเข้าไปใกล้น้ำตกที่สุด

ระยะทางการเดินเข้าน้ำตกก็ไกลใช้ได้เลยแหละ ด้วยความว่าเรามากัน 7 คนก็เลยมีคนนำทาง ซึ่งก็เป็นคนเก็บตังเรานั้นแหละ เขาจะคอยเตือนเป็นระยะว่าแบบระยะไหนควรใส่ชุดได้แล้ว และระวังอะไร ข้างหน้ามีรูปปั่นเทพที่เขาเชื่อว่ารักษาที่นี่อยู่ เขาก็จะเล่า แต่แบบเดินแล้วเดินอีกจนมาถึงจุดอลังการงานสร้าง

ที่เห็นนี่คือน้ำตกล้วนๆ เราต้องเดินผ่านม่านน้ำตกเข้าไปซึ่งมันเป็นอะไรที่ไม่ค่อยพบเห็นในเมืองไทยเท่าไรนัก เดินไปจ้าชุ่มช่ำจริงๆ แต่แบบที่นี่อุดมสมบูรณ์มากเลยนะ มีน้ำตกลงมากมาย บางจุดก็จะลื่นๆหน่อย แต่ไม่มีจุดไหนที่ลึกสำหรับบริเวณนี้ เราขอใช้ภาพเล่าเรื่องไปพลางๆก่อนละกัน

แล้วเราก็มาถึงจุดที่ทุกคนต้องมาเห็นให้ได้ ตามจริงไม่ได้ไกลจากม่านน้ำเลย ก็แค่เดินผ่านมา พลังน้ำมหาศาลมาก ไม่เคยเห็นอะไรยิ่งใหญ่ขนาดนี้เลย เก็บกล้องได้เลยถ้าไม่กันน้ำ เพราะแค่เข้าใกล้ก็เปียกไปทั้งตัวแน่นอนแล้ว แต่สุดยอดจริงๆ ถือเป็นความคุ้มค่าอีกที่สำหรับเมืองนี้

หน้าน้ำตกมีร้านขายข้าว ขายมาม่าราคาไม่แพง 30 บาทไทยได้ มาม่าอร่อยดี พูดแล้วก็อยากกินอีก เราก็แวะกินพูดคุยกับคนท้องถื่น ก่อนจะยิ่งยาวไปที่ อีเจี๊ยน โหด มัน ฮาวิ่งตามควายท่ามกลางภูเขาไฟ เราก็ยิงยาวบนรถยามค่ำคืนอีกแล้วก่อนที่จะถึงอีเจี๊ยน ท่ามกลางความโหดของเส้นทาง

 

5th day : ธรรมชาติที่อีเจี๊ยน

ท่ามกลางความดึก 3 ทุ่มถึง 4 ทุ่มได้เราก็มาถึงที่พักแบบ Home stay โดยเลือกที่ใกล้อีเจี๊ยนสุดๆเพื่อเราจะไม่ต้องเดินทางไกล และราคาโอเคคือคืนล่ะ 100 กว่าบาท เดินทางขึ้นอีเจี๊ยนแค่ครึ่งชั่วโมง เราแนะนำ Ijen Crater Guesthouse ลองหาจองดูได้ถ้าไม่คิดอะไรมากนัก 55+

สภาพที่พักก็จะประมาณนี้เรานอนกที่นี่กัน 2 คืนทุกอย่างโอเคราคาแบบนี้มีอาหารเช้าด้วยนะ แล้ววันนี้ก็เป็นวันที่เราเลือกที่จะพักผ่อนกันไปก่อน แล้วคืนนี้ค่อยตื่นขึ้นมาเพื่อขึ้นอีเจี๊ยน วันว่างๆก็เลยหาที่เที่ยวคนขับรถก็ช่วยเปิดอินเตอร์เน็ตหา สถานที่ๆได้คือ อุทยานแห่งชาติของเมืองนี้อย่าง Taman Nasional Baluran

ความที่เราวางแผนมาแล้วแหละเรื่องเงินว่าเราจะพกเงินกันมา 12,000 บาท แต่แค่เมืองยอร์คยาก็หมดไปหลายบาทแล้วเนื่องจากค่าเข้ามรดกโลกต่างๆ เราเลยเลือกที่จะไม่เที่ยวไหนที่เสียเงินอีกแต่ที่นี่ก็ไม่รอด 55+ เสียเยอะด้วยนะแต่เราไม่รวมในทริป 3,700 บาทเพราะถือเป็นทางเลือกไม่ไปก็ได้

ด้วยความที่หนทางมันกันดารสุดๆแล้ว จะไม่เข้าก็สงสารคนขับอุตส่าพามา เลยยอมเสียเงินเข้ามานั้นแหละทางค่อนข้างขรุขระมากๆ จุดแรกในอุทยานที่จะแวะกันคือทุ่งหญ้าสะวันนา บางทีก็สงสัยว่ามันต่างจากทุ่งหญ้าธรรมดาบ้านเรายังไง แต่แบบมันก็เหลือง แต่ไม่ได้ตายนะ ที่สำคัญวิวภูเขาไฟก็มา

แล้วก็ขับไปตามทางและไปสุดที่ชายทะเล ที่ไม่ค่อยมีคนสงบ แต่ไม่ได้สวยแบบภาคใต้บ้านเรานะ แต่ก็มานั่งชิลได้สบายๆ สักพักเราก็หิวกันอีกเลยออกมา ก็แอบผิดหวังเสียเงินตั้งแพง มาเห็นแค่นี้ 55+ แต่ที่นี่เหมือนซาฟารีเลยนะ แบบมีสัตว์เต็มไปหมด มีลิงมีกวาง มีควายวิ่งเล่นกัน อเมซิ่งสุดๆ

แล้วเราก็ออกมาหาอะไรทานโดยร้านที่ทานเป็นร้านที่จะมองเห็นฝั่งเกาะบาหลีนั้นเอง โอเคราคาไม่แรงก่อนกลับเข้าที่พักเราแวะร้านสะดวกซื้อบ้านเขา เพื่อซื้อน้ำและนมเป็นสเบียงปีนขึ้นเขาอีเจี๊ยนนั้นแหละ ราคาเหมือนบ้านเราเลย แต่พวกนมผลไม้ น้ำผลไม้มีเยอะดี ไปก็แนะนำให้ลองชิมได้ ก่อนที่จะกลับเข้าไปนอนก่อนตื่นเที่ยงคืนเพื่อมาดู

[tdivider style=”fa-star” color=”#222222″]

6th day : ปีนเขากันตี 2 !!!! ไม่พีคเท่ามีคนหาบเราขึ้นไป

เที่ยงคืนได้พวกเรารีบตื่นมาเตรียมตัว ทั้งที่คนขับรถก็บอกพวกเราแหละว่าเขาเปิดให้เข้าตี 2 ครึ่งถึงคุณรีบไปคุณก็ต้องไปรออยู่ดี 55+ เราเลยปล่อยให้พี่คนขับแกนอนสักพักแล้วเราค่อยปลุกแก ก็เป็นไปตามความคาดหมายไปก่อนเวลา และ ไปเดินหนาวควันออกปาก ก็เดินสำรวจไปแหละมีร้านค้า กาแฟ มาม่า เสื้อกันหนาว หน้ากากให้เช่า ถุงมือ

ครึ่งชั่วโมงได้ อีเจี๊ยนก็เปิดเราก็ต้องไปซื้อบัตรกันนั้นแหละ 100,000 IDR นี่ยังไม่รวมค่าไกด์ที่แบบจะให้เท่าไรก็ได้พวกเราก็ให้ไปประมาณ 300 บาทไทยได้ด้วยความที่ไกด์ครั้งนี้เป็นนักถ่ายภาพ Stock ที่ปีนเขาไปทั่วทุกมุมโลก แกก็จะแข็งแรงหน่อย และเข้าใจความเป็นตากล้องหน่อย ลืมเล่าทริปนี้มีพี่คนนึงที่สามารถพูดภาษามาลายูได้เพราะเป็นอิสลามเลยเมาส์กันมัน

เล่าถึงบรรยากาศการปีนเขา จะมีรถเข็นเป็นระยะๆ เพราะทางโหดชันตลอดเวลามีจุดพักน้อยมาก เราเลยให้พี่บังลองถามราคาตกแล้ว 2500 บาทได้ถ้านั่งตั้งแต่ตีนเขา ด้วยความที่เขาเอารถที่ขนกำมะถันมาขนคน เพราะเขาต้องเข็นขึ้นอยู่แล้วเลยหารายได้เสริม แต่ราคาแรงจริงๆ ถ้าพูดภาษาเขาไม่ได้ราคาแรงถึง 3,700 บาท

ด้วยความที่เราไม่ได้ออกกำลังกายมาเลย และทางมันชันๆ แล้วก็ชันขึ้นเรื่อยๆ เลยแบบเดิน 100 ก้าวก็พักทีกลุ่มพวกเรานี่รั้งท้ายเลย ตามจริงใครที่ไม่ได้คาดหวังจะเห็น Blue fire ก็ไปสายๆก็ได้นะ และ Blue fire ที่ว่าก็ไม่ได้อลังการขนาดนั้น เสียเวลานอน 55+ ไปลุ้นเอาเนอะ

ด้วยความที่ 1 กิโลสุดท้ายเราก็ไม่ไหวแล้วเลยให้พี่บังต่อราคาให้ เลยได้ราคา 500 บาทไทยมา โห้ยรู้สึกดีมากที่นั่งรถขึ้นมา ทางอย่างโหด 55+ นี่เกือบแถมเงินไปให้อีกนะ 55+ ก็ขึ้นมารถชาวคณะที่เหลือ บรรยากาศข้างบนกลิ่นกำมะถันแรงมาก และค้าขายอะไรกันในความมืด…

ลืมเล่าไปไกด์บอกว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาที่นี่คือ กรกฎาคม เพราะจะเห็นทางช้างเผือกชัดมากๆ และ อากาศจะปลอดโปร่ง จังหวะนั้นก็หาทางจับจองที่นั่ง และ นั่งคอยว่าเมื่อไรหมอกจะหายและเห็นน้ำสีฟ้าชัด จะเห็นชัดต้องมาสายๆ แต่นี่จะหนาวตายถ้ารอเวลาสาย เพราะขึ้นมาตั้งแต่ตี 2

ระหว่างที่เราจะหันหน้ามองปากปล่องภูเขาไฟ เราแนะนำให้หันไปอีกมุมเพราะเป็นมุมที่พระอาทิตย์ขึ้นมา แล้วแสงจะไล่สาดได้สวยงามมากไหนๆ ฝั่งปากปล่องก็มีหมอกปกคลุม เราเลยมาค้นพบความงามอีกด้านนั้นเอง สวยงามหายหนาวได้บ้างไออุ่นจากแสงอาทิตย์

 อีกเรื่องที่อยากแนะนำคือ ต้องเดินไปให้สุด เพราะในสุดวิวอย่างกับเนปาลแหนะ พูดไปเดียวจะหาว่าโม้ เอาเป็นว่ามุมในนี้เราไม่ค่อยเห็นคนไทยถ่ายมา แต่เราเห็นฝรั่งเดินกันให้ว้อนเลย 55+ เราเลยถ่ายเอามาฝากกัน และเตือนว่าควรเดินไปใหสุด

ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าที่จะเห็นน้ำ แล้วเห็นไม่เต็มบ่อด้วยนะ การเที่ยวธรรมชาติ คาดเดาไม่ได้จริงๆ ฝั่งนึงหมอกหายอีกฝั่งหมอกเข้ามาแทนที่ โอ้ยหนาวก็หนาว 55+ รู้งี้เราขึ้นมาสายๆดีกว่านะ ในความคิดเรานะ 55+

 แล้วเราจะถ่ายรูปกับอะไร ? นี่ไงเราก็ต้องอาศัย 10 วินาทีนี่แหละในการถ่ายภาพสวยๆ ก่อนที่เราจะเดินลงมา พูดเรื่องกลิ่นกำมะถัน มันแรงมากจริงๆ แสบจมูก แต่จะใส่ตลอดเวลาก็เจ็บหน้าเหลือเกิน มันเป็นสิ่งจำเป็นเหลือเกินนะสำหรับหน้ากาก

ด้วยความที่เดินขึ้นมา ก็ขึ้นมากันแบบมืดๆ เลยไม่ได้เห็นต้นไม้ที่นี่ เนื่องจากความหนาว ความเย็นของที่นี่สีต้นไม้อย่างกับหิมะตก บางจุดมีเหมือนน้ำแข็งแม่ขนิ้ง แต่ก็ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นจุดถ่ายภาพสวยๆได้อีก

สิ่งที่น่าสนใจในช่วงการเดินกลับคือ ผู้คนที่เราพบเจอ โดยเฉพาะคนงานเหมือง คุณภาพชีวิตแย่มากเพราะต้องสูดดมแก๊สกำมะถัน กว่าจะขึ้นเขามา กว่าจะเอาลงไป มันยากลำบาก และ ค่าตอบแทนก็ไม่ได้คุ้มค่ากับสุขภาพที่เสียไป แต่พวกเขาก็มีรอยยิ้มนะ ดูมองโลกในแง่ดีกัน อย่างน้อยก็มีความสุขในแต่ละวันได้

สุดท้ายเราก็ขอบอกจากใจจริงว่าเราหลงรัก เกาะชวา (Java) แห่งนี้หมดใจเลยและก็ไม่อยากจากไปไหน แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา เราเข้าใจแล้วว่าทำไมบางคนมาแค่โบรโม่ อีเจี๊ยนก็อิ่มใจ เราก็ลงมาข้างล่างมุ่งหน้าไปที่พัก และก็มุ่งหน้าไปบาหลีกัน

Khun Peung (6 August Journey)

6 August Journey เป็นผู้หญิงสาย IT ที่ชอบท่องเที่ยว และ ชอบการ Staycation เป็นชีวิตจิตใจ รวมทั้งยังชอบลิ้มลอง Hotel Dining + Omakase โดยเน้นให้ข้อมูลที่ละเอียดสำหรับทุกคนไปตามรอยได้